คำสั่ง จงอธิบายความหมาย และแจกแจงข้อมูลที่กำหนดให้ละเอียดดังนี้
1. พจานุกรมข้อมูล หมายถึง
Data Dictionary คือ พจนานุกรมข้อมูล ที่แสดงรายละเอียดตารางข้อมูลต่างๆ ในฐานข้อมูล (Database) ซึ่งประกอบด้วยรีเลชั่น (Relation Name), แอตทริบิวต์ (Attribute), ชื่อแทน (Aliases Name), รายละเอียดข้อมูล (Data Description), แอตทริบิวโดเมน (Attribute Domain), ฯลฯ ทำให้สามารถค้นหารายละเอียดที่ต้องการได้สะดวกมากยิ่งขึ้น พจนานุกรมข้อมูลเป็นการผสมผสานระหว่างรูปแบบของพจนานุกรมโดยทั่วไปและรูปแบบของข้อมูลในระบบงานคอมพิวเตอร์ เพื่ออธิบายชนิดของข้อมูลแต่ละตัวว่าเป็น ตัวเลข อักขระ ข้อความ หรือวันที่ เป็นต้น เพื่อช่วยในการอธิบายรายละเอียดต่างๆ ในการอ้างอิงหรือค้นหาที่เกี่ยวกับข้อมูล หรือจะเรียกง่ายๆ ว่า Data Dictionary คือ เอกสารที่ใช้อธิบายฐานข้อมูลหรือการจัดเก็บฐานข้อมูล ซึ่ง Data Dictionary มีประโยชน์ ดังนี้
- จัดเก็บรายละเอียดข้อมูล
- แสดงความหมายที่เกี่ยวกับระบบ
- ทำเอกสารที่บอกคุณลักษณะของระบบ
- หาข้อบกพร่องและสิ่งที่หายไปจากระบบ
- หาข้อบกพร่องและสิ่งที่หายไปจากระบบ
ส่วนประกอบของ Data Dictionary
1. ข้อมูลย่อย (Data Element) : ส่วนประกอบพื้นที่ ที่ไม่สามารถแบ่งให้เล็กลงได้อีก
2. โครงสร้างข้อมูล (Data Structure) : สร้างขึ้นโดยการนำส่วนย่อยของข้อมูล ตั้งแต่ 1 ตัวขึ้นไป ที่สัมพันธ์กันมารวมเข้าด้วยกัน
1. ข้อมูลย่อย (Data Element) : ส่วนประกอบพื้นที่ ที่ไม่สามารถแบ่งให้เล็กลงได้อีก
2. โครงสร้างข้อมูล (Data Structure) : สร้างขึ้นโดยการนำส่วนย่อยของข้อมูล ตั้งแต่ 1 ตัวขึ้นไป ที่สัมพันธ์กันมารวมเข้าด้วยกัน
สัญลักษณ์ที่ใช้ในพจนานุกรมข้อมูล ได้แก่
= หมายถึง เท่ากับ
+ หมายถึง และ
{} หมายถึง มีการซ้ำของส่วนย่อยข้อมูล
= หมายถึง เท่ากับ
+ หมายถึง และ
{} หมายถึง มีการซ้ำของส่วนย่อยข้อมูล
[ l ] หมายถึง ทางเลือกให้เลือกส่วนย่อยของข้อมูลตัวใดตัวหนึ่ง
() หมายถึง การเกิดขึ้นเป็นกรณีพิเศษ จะปรากฎหรือไม่ปรากฎก็ได้
() หมายถึง การเกิดขึ้นเป็นกรณีพิเศษ จะปรากฎหรือไม่ปรากฎก็ได้
2.ส่วนเครื่องมือสร้างระบบจัดการฐานข้อมูล หมายถึงอะไร
ระบบจัดการฐานข้อมูล ( Database Management System) หรือที่เรียกว่า ดีบีเอ็มเอส (DBMS)
คือซอฟต์แวร์สำหรับบริหารและจัดการฐานข้อมูล เปรียบเสมือนสื่อกลางระหว่างผู้ใช้และโปรแกรมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการใช้ฐานข้อมูล ซึ่งมีหน้าที่ช่วยให้ผู้ใช้เข้าถึงข้อมูลได้ง่ายสะดวกและมีประสิทธิภาพ การเข้าถึงข้อมูลของผู้ใช้ อาจเป็นการสร้างฐานข้อมูล การแก้ไขฐานข้อมูล หรือการตั้งคำถามเพื่อให้ได้ข้อมูลมาโดยผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องรับรู้เกี่ยวกับรายละเอียดภายในโครงสร้างของฐานข้อมูล เปรียบเสมือนเป็นสื่อกลางระหว่างผู้ใช้และโปรแกรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการใช้ฐานข้อมูลซึ่งต่างจากระบบแฟ้มข้อมูลที่หน้าที่เหล่านี้จะเป็นหน้าที่ของโปรแกรมเมอร์
คือซอฟต์แวร์สำหรับบริหารและจัดการฐานข้อมูล เปรียบเสมือนสื่อกลางระหว่างผู้ใช้และโปรแกรมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการใช้ฐานข้อมูล ซึ่งมีหน้าที่ช่วยให้ผู้ใช้เข้าถึงข้อมูลได้ง่ายสะดวกและมีประสิทธิภาพ การเข้าถึงข้อมูลของผู้ใช้ อาจเป็นการสร้างฐานข้อมูล การแก้ไขฐานข้อมูล หรือการตั้งคำถามเพื่อให้ได้ข้อมูลมาโดยผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องรับรู้เกี่ยวกับรายละเอียดภายในโครงสร้างของฐานข้อมูล เปรียบเสมือนเป็นสื่อกลางระหว่างผู้ใช้และโปรแกรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการใช้ฐานข้อมูลซึ่งต่างจากระบบแฟ้มข้อมูลที่หน้าที่เหล่านี้จะเป็นหน้าที่ของโปรแกรมเมอร์
หน้าที่ของระบบการจัดการฐานข้อมูล
- แปลงคำสั่งที่ใช้จัดการกับข้อมูลภายในฐานข้อมูล ให้อยู่ในรูปแบบที่ฐานข้อมูลเข้าใจ
- นำคำสั่งต่าง ๆ ซึ่งได้รับการแปลแล้ว ไปสั่งให้ฐานข้อมูลทำงาน เช่น การเรียกใช้ (Retrieve) จัดเก็บ (Update) ลบ (Delete) เพิ่มข้อมูล (Add) เป็นต้น
- ป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับข้อมูลภายในฐานข้อมูล โดยจะคอยตรวจสอบว่าคำสั่งใดที่สามารถทำงานได้ และคำสั่งใดที่ไม่สามารถทำงานได้
- รักษาความสัมพันธ์ของข้อมูลภายในฐานข้อมูลให้มีความถูกต้องอยู่เสมอ
- เก็บรายละเอียดต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลภายในฐานข้อมูลไว้ในพจนานุกรมข้อมูล (Data Dictionary) ซึ่งรายละเอียดเหล่านี้มักจะถูกเรียกว่า เมทาดาต้า (MetaData) ซึ่งหมายถึง "ข้อมูลของข้อมูล"
- ดูแลการใช้งานให้กับผู้ใช้ ในการติดต่อกับตัวจัดการระบบแฟ้มข้อมูลได้ โดยจะทำหน้าที่ติดต่อกับระบบแฟ้มข้อมูลซึ่งเสมือนเป็นผู้จัดการแฟ้มข้อมูล (file manager) นำข้อมูลจากหน่วยความจำสำรองเข้าสู่หน่วยความจำหลักเฉพาะส่วนที่ต้องการใช้งาน และทำหน้าที่ประสานกับตัวจัดการระบบแฟ้มข้อมูลในการจัดเก็บ เรียกใช้ และแก้ไขข้อมูล
- ควบคุมการใช้ข้อมูลพร้อมกัน (Concurrency Control) ในระบบคอมพิวเตอร์ที่ใช้อยู่ปัจจุบัน โปรแกรมการทำงานมักจะเป็นแบบผู้ใช้หลายคน (Multi User) จึงทำให้ผู้ใช้แต่ละคนสามารถเรียกใช้ข้อมูลได้พร้อมกัน ระบบจัดการฐานข้อมูลที่มีคุณสมบัติควบคุมการใช้ข้อมูลพร้อมกันนี้ จะทำการควบคุมการใช้ข้อมูลพร้อมกันของผู้ใช้หลายคนในเวลาเดียวกันได้ โดยมีระบบการควบคุมที่ถูกต้องเหมาะสม เช่น ถ้าการแก้ไขข้อมูลนั้นยังไม่เรียบร้อย ผู้ใช้อื่นๆ ที่ต้องการเรียกใช้ข้อมูลนี้จะไม่สามารถเรียกข้อมูลนั้นๆ ขึ้นมาทำงานใดๆ ได้ ต้องรอจนกว่าการแก้ไขข้อมูลของผู้ที่เรียกใช้ข้อมูลนั้นก่อนจะเสร็จเรียบร้อย จึงจะสามารถเรียกข้อมูลนั้นไปใช้งานต่อได้ ทั้งนี้เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาการเรียกใช้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง
- ควบคุมระบบความปลอดภัยของข้อมูลโดยป้องกันไม่ให้ผู้ที่ไม่ได้รับอนุญาตเข้ามาเรียกใช้หรือแก้ไขข้อมูลในส่วนป้องกันเอาไว้ พร้อมทั้งสร้างฟังก์ชันในการจัดทำข้อมูลสำรอง
- ควบคุมการใช้ข้อมูลในสภาพที่มีผู้ใช้พร้อม ๆ กันหลายคน โดยจัดการเมื่อมีข้อผิดพลาดของข้อมูลเกิดขึ้น
ระบบจัดการฐานข้อมูลที่นิยมใช้กันในปัจจุบัน
- ออราเคิล (Oracle)
- ไมโครซอฟท์ เอสคิวแอล เซิร์ฟเวอร์ (Microsoft SQL Server)
- มายเอสคิวแอล (MySQL)
- ไมโครซอฟต์ แอคเซส (Microsoft Access)
- ไอบีเอ็ม ดีบีทู (IBM DB/2)
- ไซเบส (Sybase)
- PostgreSQL
- Progress
- Interbase
- Firebird
- Pervasive SQL
- แซพ ดีบี (SAP DB)
เอกสารอ้างอิงพงศ์กร จันทราช. เอกสารประกอบการสอน รายวิชาระบบฐานข้อมูล : ภาควิชาเทคโนโลยีสารสรเทศ มหาวิทยาลัยฟาร์อีสเทอร์น, 2550.
3. ไฟล์ คืออะไร
- ชนิดของไฟล์
คอมพิวเตอร์ทุกรุ่น สามารถแบ่งชนิดของไฟล์ได้เป็น 2 ประเภท คือ
- โปรแกรมไฟล์ (Program file)จะเป็นไฟล์ที่เก็บโปรแกรมทุกชนิด ตั้งแต่โปรแกรมของระบบ เช่น (System Program) โปรแกรมที่ใช้ในการขอดูวันที่จากเครื่อง ตลอดไปจนถึงโปรแกรมประยุกต์ต่าง ๆ เช่น โปรแกรม Microsoft wordซึ่งโปรแกรมเหล่านี้บางโปรแกรมจะต้องใช้ข้อมูลจากหลายไฟล์ประกอบกัน จึงจะทำงานได้อย่างสมบูรณ์ หากโปรแกรมใดโปรแกรมหนึ่งหายไป หรือถูกแก้ไขอย่างไม่ถูกต้องก็จะทำให้โปรแกรมหลักทำงานผิดพลาดได้
- ดาตาไฟล์ (Data File)
จะเป็นไฟล์ที่เก็บข้อมูลทุกชนิด หรือกล่าวได้ว่าเป็นไฟล์ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเก็บข้อมูลที่โปรแกรมต้องการใช้ ซึ่งแต่ละโปรแกรมก็มีรูปแบบในการเก็บข้อมูลแตกต่างกันไป ทำให้ข้อมูลจากโปรแกรมหนึ่งจะถูกเรียกใช้จากโปรแกรมอื่นไม่ได้ เช่น โปรแกรม Math CAD เรียกไฟล์ที่เก็บข้อมูลด้วยรูปแบบของโปรแกรม Microsoft Word ไม่ได้ เป็นต้น ปัจจุบันเทคโนโลยีได้ก้านหน้าไปมาก มีผู้คิดค้นวิธีแปลงไฟล์ข้อมูลที่สร้างขึ้นจากโปรแกรมหนึ่ง ไปเป็นรูปแบบการเก็บข้อมูลของโปรแกรมอื่นได้ โดยใช้โปรแกรมอรรถประโยชน์สำหรับข้อมูล (Conversation uyility)
ดาตาไฟล์สามมารถแบ่งเป็นประเภทย่อย ๆ ได้ตามประเภทของข้อมูลที่เก็บ เช่น
- ไฟล์คุณสมบัติ (Configuration File) เป็นที่เก็บคุณสมบัติหรือตัวเลือกต่าง ๆ ที่โปรแกรมต้องใช้ในการทำงานให้ถูกต้อง ผู้ใช้จะต้องระวังไม่ลบไฟล์เหล่านี้ทิ้งเพราะจะทำให้โปรแกรมทำงานไม่ได้ เนื่องจากต้องมีการอ่านไฟล์ที่เก็บคุณสมบัติเหล่านี้เสมอเมื่อมีการเรียกใช้โปรแกรม
- ไฟล์ข้อความ (Text File) เป็นที่เก็บข้อความซึ่งประกอบด้วยตัวอักษร ตัวเลข และสัญลักษณ์พิเศษต่าง ๆ โดยปกติแล้วเกือบทุกโปรแกรมสามารถเก็บหรือแปลงข้อมูลเป็นแบบไฟล์ข้อความได้
- ไฟล์กราฟฟิก (graphics File) เป็นที่เก็บรูปภาพทั้งสีและขาวดำ ข้อมูลที่เก็บอยู่ในไฟล์ประเภทนี้อยู่ในรูปแบบเฉพาะ ซึ่งมีที่ได้รับความนิยมอยู่หลายแบบ เช่น รูปแบบ Joint Photographic Experts Group (JPEG) และ Graphic Interchange Format (GIF) เป็นต้น การอ่านไฟล์กราฟิกเหล่านี้ต้องซอฟต์แวร์ที่รับรู้รูปแบบของภาพนั้นเท่านั้น ท ไฟล์ฐานข้อมูล (Database File) เป็นที่เก็บข้อมูลในรูปแบบที่โปรแกรมฐานข้อมูลเรียกใช้ได้ ส่วนมากจะแตกต่างกันไปตามโปรแกรมฐานข้อมูลแต่ละตัว
- ไฟล์เสียง (Sound File) เป็นที่เก็บรหัสแทนเสียงซึ่งอยู่ในรูปแบบดิจิตอล หากคอมพิวเตอร์ที่ใช้มีระบบมัลติมีเดีย ก็จะสามารถอ่านข้อมูลในไฟล์เสียงและเล่นเสียงที่เก็บอยู่ออกมาทางลำโพงได้
- ไฟล์สำรอง (Backup File) เป็นที่เก็บสำรองข้อมูลที่สำคัญ เพื่อให้สามารถนำกลับมาใช้แทนไฟล์ต้นฉบับ ในกรณีที่ไฟล์ต้นฉบับเกิดปัญหาใด ๆ
- การกำหนดชื่อไฟล์
ในการสั่งให้โปรแกรมจัดเก็บข้อมูลไว้ในไฟล์ ผู้ใช้จะต้องทำการกำหนดชื่อไฟล์เพื่อให้ระบบปฏิบัติสามารถอ้างถึงชื่อไฟล์ดังกล่าวในกรณีที่ต้องการเรียกใช้ข้อมูลชุดนี้ ในระบบปฏิบัติการรุ่นเก่า เช่น MS - DOS และ Microsoft Windows 3.1 จะมีข้อจำกัดเกี่ยวกับชื่อไฟล์ค่อนข้างมาก เช่น ต้องมีความยาวไม่เกิน 8 ตัวอักษร และต้องประกอบด้วยตัวอักษรและตัวเลขเท่านั้น เป็นต้น ทำให้การกำหนดชื่อไฟล์ทำได้ไม่ง่ายนัก เพราะชื่อไฟล์ที่ใช้ควรสื่อความหมายถึงข้อมูลที่เก็บอยู่ในไฟล์นั้น เพื่อให้สามารถจดจำในระยะยาวได้ว่าไฟล์นั้น ๆ เก็บข้อมูลอะไรบ้าง เช่น ไฟล์ชื่อ COMMAND ก็จะให้ความหมายได้ดีกว่าไฟล์ชื่อ RK7H นอกจากนี้ชื่อไฟล์ภายในไดเรกเทอรีหนึ่ง ๆ ต้องไม่ซ้ำกัน หากผู้ใช้จัดเก็บไฟล์ใหม่โดยใช้ชื่อไฟล์ที่มีอยู่เดิม จะทำให้ข้อมูลใหม่นั้นแทนที่ข้อมูลเดิมและข้อมูลเดิมจะหายไปทันที
โดยทั่วไปแล้ว การตั้งชื่อไฟล์นิยมใช้ตัวอักษรอีก 3 ตัวเพื่อเป็นส่วนขยาย (extension)หรือที่นิยมเรียกว่านามสกุลของไฟล์ โดยแยกระหว่างส่วนขยายกับชื่อไฟล์ด้วยเครื่องหมายจุด (.) เช่น RK7H .GIF ซึ่งส่วนขยายนี้จะช่วยในการแยกประเภทของข้อมูลที่เก็บอยู่ในไฟล์ โดยโปรแกรมประยุกต์บางโปรแกรมจะกำหนดส่วนขยายให้เองเมื่อทำการจัดเก็บไฟล์ เช่น โปรแกรม Micrcsft Word กำหนดส่วนขยายเป็น .DOC โปรแกรม Micrcsft Excel กำหนดส่วนขยายเป็น .XLS เป็นต้น การกำหนดนามสกุลโดยโปรแกรมจะเป็นการช่วยให้ผู้ใช้ทราบได้ว่าไฟล์นั้น ๆ ถูกสร้างขึ้นจากโปรแกรมใด และสามารถเลือกใช้โปรแกรมในการอ่านไฟล์นั้นได้ถูกต้องในภายหลัง
ปัจจุบันนี้โปรแกรม Micrcsft Windows 95 อนุญาตให้ผู้ใช้ตั้งชื่อไฟล์ได้คล่องตัวขึ้น คือชื่อไฟล์สามารถมีความยาวได้ถึง 255 ตัวอักษรและสามารถใช้ช่องว่างได้ แต่จะไม่ยอมให้ใช้สัญลักษณ์พิเศษเหล่านี้ \ / : * ? " < > คือ ส่วนผู้ใช้เครื่องแมคอินทอช (Macintosh) จะใช้ชื่อไฟล์ที่มีความยาวได้ไม่เกิน 31 ตัวอักษร
ส่วนขยาย ชนิดของไฟล์ BAK Backup file BAT Batch file COM Program file DOC Microsoft Word Document EXE Program file GIF GIF graphics file INI Configuation file JPG JPEG graphics file SYS Operating system configuation file WAV Microsoft Windows sound file WK4 Lotus 1-2-3 spreadsheet file XLS Microsoft Excal spreadsheet file
4.ฟิลด์หลัก หมายถึง
ระเบียนข้อมูลหรือเรคคอร์ด (Record) หมายถึงกลุ่มของเขตข้อมูลที่มีความสัมพันธ์กัน แต่ละข้อมูลสามารถแสดง
คุณลักษณะและคุณสมบัติของเรื่องเดียวกัน
ประโยชน์ของการจัดทำระบบฐานข้อมูล
การรวบรวมข้อมูลต่างๆ เข้าเป็นระบบฐานข้อมูล โดยมีการออกแบบ การวิเคราะห์และสร้างความสัมพันธ์ของข้อมูล
ซึ่งมีประโยชน์ต่อการใช้งานในสำนักงานทั่วไปอย่างมาก ดังนี้
1. ช่วยลดปัญหาของความซ้ำซ้อนของข้อมูลที่จัดเก็บเนื่องจากในขั้นตอนของการออกแบบฐานข้อมูล เมื่อพบข้อมูล
บางส่วนที่ซ้ำซ้อนกันก็จะสามารถลดและปรับข้อมูลให้น้อยลง ขณะที่ยังคงความสามารถในการเรียกดูข้อมูลได้
ดังเดิมโดยใช้การกำหนดความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูล
2. สามารถใช้ร่วมกันได้หลายคนและหลายหน่วยงานได้ ไม่จำกัดเฉพาะโปรแกรมในปัจจุบันเท่านั้นแต่สามารถใช้กับ
โปรแกรมที่จะพัฒนาในอนาคตด้วย
3. สามารถหลีกเลี่ยงความขัดแย้งกันของข้อมูลได้ในระดับหนึ่ง เนื่องจากความซ้ำซ้อนของข้อมูล ดังเหตุผลในข้อแรก
เมื่อลดความซ้ำซ้อนของข้อมูลแล้ว ระบบฐานข้อมูลก็จะมีข้อมูลเรื่องใดๆ อยู่น้อยชุดที่สุด ซึ่งสะดวกในการแก้ไข
ปรับปรุงต่างจากในกรณีที่มีข้อมูลอย่างเดียวกันหลายชุด ถ้ามีการแก้ไขแล้วไม่ได้แก้ไขข้อมูลครบทุกชุด เมื่อมีการเรียก
ใช้ข้อมูลจะ พบข้อมูลเรื่องเดียวกัน แต่มีเนื้อหาต่างกัน
4. สามารถควบคุมความถูกต้องของข้อมูล ทั้งในเรื่องความถูกต้องของข้อมูลในแฟ้มข้อมูล (Relational Integrity) และ
ความถูกต้องของความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูล (Referential Integrity) สามารถควบคุมมาตรฐานของข้อมูลได้ ทั้งใน
ลักษณะรูปแบบของข้อมูล (Format) การกำหนดรหัส (Coding) ในข้อมูลเรื่องเดียวกันให้เหมือนกัน
5. การจัดทำระบบฐานข้อมูล จะเป็นการวางแผนระบบข้อมูลขององค์กร หรือหน่วยงานอย่างมีประสิทธิภาพ ลดความ
สูญเสียและความขัดแย้งของข้อมูลที่อาจจะมีขึ้น ถ้าแต่ละแผนกแยกกันพัฒนาระบบข้อมูลของตนเอง
6. สามารถควบคุมและรักษาความปลอดภัยของข้อมูลได้ เนื่องจากข้อมูลต่างๆ ถูกนำเข้ามาจัดเก็บในระบบฐานข้อมูล
ซึ่งอยู่ที่ส่วนกลาง มีผู้ดูแลข้อมูลอย่างชัดเจน ผู้บริหารระบบฐานข้อมูล (Database Administration) ก็จะสามารถควบคุม
การเข้าใช้ การแก้ไขข้อมูลของผู้เข้าใช้ทุกคน
7. ทำให้มีความเป็นอิสระในการจัดการฐานข้อมูล ถ้าต้องการเปลี่ยนแปลงวิธีการจัดเก็บหรือการเรียกใช้ข้อมูล การ
ประยุกต์ใช้ทำได้ง่าย
องค์ประกอบของระบบฐานข้อมูล
เนื่องจากขอบเขตการจัดการฐานข้อมูลนั้นกว้างมาก ดังนั้นเราจึงน่าจะรู้จักกับองค์ประกอบต่าง ๆ ของฐานข้อมูล
1. User คือ ผู้ใช้งานฐานข้อมูลโดยคนเหล่านั้นไม่จำเป็นต้องมีความรู้เกี่ยวกับฐานข้อมูลก็ได้ แต่รู้ว่าต้องการ
ข้อมูลอะไรบ้างในการทำงาน
2. Data คือ ข้อมูลในฐานข้อมูล เป็นส่วนที่ถูกนำมาใช้งาน ถูกเก็บอยู่ภายในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ โดยใน
มุมมองของผู้ใช้งานนั้นข้อมูลจะถูกเก็บไว้ในตารางต่าง ๆ ของฐานข้อมูล
3. DBMS (Database Management System) คือซอฟต์แวร์ที่ทำหน้าที่คอยจัดการดูแลฐานข้อมูลให้สามารถ
ใช้งานได้ง่าย มีประสิทธิภาพ และรักษาข้อมูลที่เก็บอยู่ภายในให้เชื่อถือได้เสมอ
4. Database Server คือระบบคอมพิวเตอร์ที่เก็บข้อมูลในฐานข้อมูล ซึ่งมักจะติดตั้ง DBMS ไว้ภายในคอยทำหน้าที่ จัดการฐานข้อมูลโดยปกติมักจะเป็นคอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพ การทำงานในระดับสูงมาก
เพราะต้องคอยรับการใช้งานพร้อม ๆ กันจาก User
5. DBA (Database Administrator) คือเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบดูแลรักษาฐานข้อมูล โดยจะใช้ DBMS เป็นเครื่องมือ
และคอยจัดการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นกับฐานข้อมูล
5.มุมมองเชิงตรรกะ หมายถึงข้อมูลอะไร
มุมมองของข้อมูล
ในมุมมองข้อมูลแต่ละกลุ่มผู้ที่เกี่ยวข้องจะมองฐานข้อมูลได้ไม่ตรงกัน เช่น ถ้านักคอมพิวเตอร์ผู้เชี่ยวชาญด้านโครงสร้างข้อมูลจะมองฐานข้อมูลในรูปแบบการจัดเก็บที่ไหน อย่างไร แต่ถ้าผู้ใช้ฐานข้อมูลทั่วไปจะมองข้อมูลในลักษณะมโนทัศน์ ในรูปแบบคล้ายคลึงกับการจัดเก็บในเอกสาร ที่มีโครงสร้างเป็นตาราง ประกอบด้วยแถวหลาย ๆ แถว และหลาย ๆคอลัมน์
1. มุมมองเชิงตรรกะ
มุมมองเชิงตรรกะ เป็นมุมมองการจัดเก็บข้อมูลแบบง่ายที่สุด ที่ทุก ๆ คนสามารถทำความเข้าใจการจัดเก็บข้อมูลแบบนี้ได้ ใช้มุมมองแบบนี้สำหรับสื่อสารทำความเข้าใจร่วมกันระหว่างผู้ให้ข้อมูล หรือผู้ใช้ข้อมูลกับผู้ออกแบบฐานข้อมูล จนถึงผู้พัฒนาระบบสารสนเทศ โดยการมองข้อมูลเป็นลักษณะตาราง มีแถวหลายแถวมีคอลัมน์ จำนวนหนึ่ง ข้อมูลจัดเก็บอยู่ในช่องระหว่างแถวกับคอลัมน์ เมื่อทุกคนเข้าใจได้ง่ายทำให้การออกแบบฐานข้อมูลมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
6.ฐานข้อมูลแบบกระจาย คือฐานข้อมูลแบบไหน
ฐานข้อมูลแบบกระจาย (Distributed Database) ระบบฐานข้อมูลแบบรวมศูนย์ (Centralized Database System) ประกอบด้วย ฐานข้อมูล ซอฟต์แวร์จัดการฐานข้อมูล และหน่วยความจำ ที่ใช้ในการจัดเก็บฐานข้อมูล ซึ่งอาจจะเป็นจาน บันทึก (Disk) สำหรับการจัดเก็บแบบเชื่อมตรง (on-line) หรืออาจจะเป็นแถบบันทึก (Tape) สำหรับ การจัดเก็บแบบไม่เชื่อมตรง (off-line) เพื่อใช้เป็น หน่วยเก็บสำรอง ระบบฐานข้อมูลแบบนี้สามารถ ถูกเรียกใช้งานได้จากจุดอื่นๆ ที่มีเครื่องปลายทาง (Terminal) ประจำอยู่ แต่ละฐานข้อมูลและ ซอฟต์แวร์จะอยู่รวมกันที่จุดเดียวเท่านั้น ซึ่งเมื่อ ระบบคอมพิวเตอร์เจริญมากขึ้น พร้อมทั้งพัฒนาการ ในเรื่องเครือข่ายสำหรับการติดต่อดีมากขึ้น ทำให้ มีการศึกษาและพัฒนาระบบฐานข้อมูลแบบ กระจายขึ้น เหตุจูงใจสำหรับการพัฒนาฐานข้อมูล แบบกระจายมีอยู่ด้วยกันหลายประการ ได้แก่
๑. งานฐานข้อมูลบางอย่างมีข้อมูลกระจัดกระจายอยู่ตามแหล่งต่างๆ หน่วยงานบางแห่ง อาจจะมีสาขาอยู่ตามจังหวัด ตัวอย่างเช่น ธนาคาร จะมีสาขาอยู่ทั่วประเทศ ข้อมูลของแต่ละสาขา ก็จะถูกเก็บไว้ที่สาขานั้นๆ แต่ในบางครั้งผู้บริหาร หน่วยงานที่ส่วนกลางอาจต้องการข้อมูลสรุป ซึ่ง ต้องใช้ข้อมูลจากหลายๆ สาขาทั่วประเทศ ซึ่งใน กรณีนี้ ระบบจัดการฐานข้อมูลควรจะมีความ สามารถในการดึงข้อมูลจากสาขาต่างๆ ได้ด้วย
๒. เพิ่มความน่าเชื่อถือและความทันสมัย ของข้อมูล สำหรับข้อมูลที่กระจายอยู่ตามจุดต่างๆ เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงค่าของข้อมูล ณ จุดนั้น ข้อมูลใหม่จะถูกบันทึกแทนข้อมูลเก่าทันที และสามารถนำมาใช้งานได้ ณ เวลานั้น เนื่องจากซอฟต์แวร์สำหรับจัดการฐานข้อมูล กระจายอยู่ตามจุดต่างๆ นอกจากนี้ ถ้าระบบในบางจุดย่อยเสียหาย และไม่สามารถทำงานได้ ระบบ ณ จุดอื่นๆ ก็ยังคงสามารถทำงานต่อไปได้ แต่ถ้าเป็นแบบรวมศูนย์ เมื่อระบบเสียหาย เครื่องปลายทางใดๆ ก็ไม่สามารถทำงานได้เลย
๓. เพื่อควบคุมการเข้าใช้ข้อมูล ทั้งนี้ เนื่องจากข้อมูลกระจัดกระจายอยู่ตามจุดต่างๆ ทำให้ผู้ดูแลระบบ สามารถกำหนดได้ว่า ผู้ใช้จากจุดใด สามารถเข้าใช้ข้อมูลจากจุดใดได้บ้าง และได้มากระดับใดด้วย ภาพจำลองตัวอย่างระบบฐานข้อมูลแบบกระจาย
๔. เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน เมื่อมีการกระจายข้อมูลตามจุดต่างๆ จะส่งผลให้ฐานข้อมูลย่อยแต่ละจุดมีขนาดเล็กลง ซึ่งทำให้เมื่อมีการสอบถามข้อมูล ในแต่ละฐานข้อมูลย่อย การค้นหาข้อมูล ย่อมทำได้รวดเร็วขึ้น นอกจากนี้ ผู้ใช้ก็กระจายอยู่ตามจุดต่างๆ แต่ละจุด จึงสามารถทำงานขนานกันได้เลย ซึ่งไม่เหมือนกับระบบรวมศูนย์ ที่จะต้องส่งทุกๆ คำสั่งไปที่เดียวกันหมด และทำให้ต้องรอลำดับ ในการทำงาน เพราะไม่สามารถทำงานพร้อมๆ กันได้ ระบบฐานข้อมูลแบบกระจาย ประกอบด้วย กลุ่มของระบบฐานข้อมูลย่อย ติดต่อสื่อสารกัน โดยผ่านเครือข่ายสื่อสาร โดยที่แต่ละระบบฐานข้อมูลย่อย สามารถทำงานได้ด้วยตนเอง และยังสามารถให้ผู้ใช้จากจุดอื่นๆ เข้ามาใช้ข้อมูลใน ฐานข้อมูลได้ตามข้อตกลง โดยผู้ใช้จะไม่รู้สึกถึงการกระจายของข้อมูลเลย ทั้งนี้องค์ประกอบหลักของระบบฐานข้อมูลแบบกระจาย ประกอบด้วย ลักษณะที่สำคัญ ๑๒ ประการ
7.ฐานข้อมูลแบบเครือข่าย คือฐานข้อมูลแบบไหน
แบบจำลองฐานข้อมูล (Data Model)
แบบจำลองฐานข้อมูลแบ่งออกเป็น 4 แบบ คือ
1. ฐานข้อมูลแบบลำดับชั้น (Hierarchical Model) เป็นฐานข้อมูลที่นำเสนอข้อมูลและความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลในรูปแบบของ โครงสร้างต้นไม้ (tree structure) เป็นโครงสร้างลักษณะคล้ายต้นไม้เป็นลำดับชั้น ซึ่งแตกออกเป็นกิ่งก้านสาขา หรือที่เรียกว่า เป็นการจัดเก็บข้อมูลในลักษณะความสัมพันธ์แบบ พ่อ-ลูก (Parent-Child Relationship Type : PCR Type)
คุณสมบัติของฐานข้อมูลแบบลำดับขั้น
1. Record ที่อยู่ด้านบนของโครงสร้างหรือพ่อ(Parent Record) นั้นสามารถมีลูกได้มากกว่าหนึ่งคน แต่ลูก (Child Record) จะไม่สามารถมีพ่อได้มากกว่า 1 คนได้
2. ทุก Record สามารถมีคุณสมบัติเป็น Parent Record(พ่อ) ได้
3. ถ้า Record หนึ่งมีลูกมากกว่าหนึ่ง Record แล้ว การลำดับความสัมพันธ์
ของ Child Record จะลำดับจากซ้ายไปขวา
ลักษณะเด่น
• เป็นระบบฐานข้อมูลที่มีระบบโครงสร้างซับซ้อนน้อยที่สุด
• มีค่าใช้จ่ายในการจัดสร้างฐานข้อมูลน้อย
• ลักษณะโครงสร้างเข้าใจง่าย
• เหมาะสำหรับงานที่ต้องการค้นหาข้อมูลแบบมีเงื่อนไขเป็นระดับและออกงานแบบเรียงลำดับต่อเนื่อง
• ป้องกันระบบความลับของข้อมูลได้ดี เนื่องจากต้องอ่านแฟ้มข้อมูลที่เป็นต้นกำเนิดก่อน
ข้อเสีย
• Record ลูก ไม่สามารถมี record พ่อหลายคนได้ เช่น นักศึกษาสามารถลงทะเบียนได้มากกว่า 1 วิชา
• มีความยืดหยุ่นน้อย เพราะการปรับโครงสร้างของ Tree ค่อนข้างยุ่งยาก
• มีโอกาสเกิดความซ้ำซ้อนมากที่สุดเมื่อเทียบกับระบบฐานข้อมูลแบบโครงสร้างอื่น
• หากข้อมูลมีจำนวนมาก การเข้าถึงข้อมูลจะใช้เวลานานในการค้นหา เนื่องจากจะต้องเข้าถึงที่ต้นกำเนิดของข้อมูล
2. ฐานข้อมูลแบบเครือข่าย (Network Model) - ลักษณะฐานข้อมูลนี้จะคล้ายกับลักษณะฐานข้อมูลแบบลำดับชั้น จะมีข้อแตกต่างกันตรงที่ในลักษณะฐานข้อมูลแบบเครือข่ายนี้สามารถมีต้นกำเนิดของข้อมูลได้มากกว่า 1 และยินยอมให้ระดับชั้นที่อยู่เหนือกว่าจะมีได้หลายแฟ้มข้อมูลถึงแม้ว่าระดับชั้นถัดลงมาจะมีเพียงแฟ้มข้อมูลเดียว
- ลักษณะโครงสร้างระบบฐานข้อมูลแบบเครือข่ายจะมีโครงสร้างของข้อมูลแต่ละแฟ้มข้อมูลมีความสัมพันธ์คล้ายร่างแห
ข้อดี
• ช่วยลดความซ้ำซ้อนของข้อมูลได้ทั้งหมด
• สามารถเชื่อมโยงข้อมูลแบบไป-กลับ ได้
• สะดวกในการค้นหามากกว่าลักษณะฐานข้อมูลแบบลำดับชั้น เพราะไม่ต้องไปเริ่มค้นหาตั้งแต่ข้อมูลต้นกำเนิดโดยทางเดียว และการค้นหาข้อมูลมีเงื่อนไขได้มากและกว้างกว่าโครงสร้างแบบลำดับชั้น
3. ฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ (Relational Model) เป็นการจัดข้อมูลในรูปแบบของตาราง 2 มิติ คือมี แถว (Row) และ คอลัมน์ (Column) โดยการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างตาราง จะใช้ Attribute ที่มีอยู่ทั้งสองตารางเป็นตัวเชื่อมโยงข้อมูล
ข้อดี
• เหมาะกับงานที่เลือกดูข้อมูลแบบมีเงื่อนไขหลายคีย์ฟิลด์ข้อมูล
• ป้องกันข้อมูลถูกทำลายหรือแก้ไขได้ดี เนื่องจากโครงสร้างแบบสัมพันธ์นี้ผู้ใช้จะไม่ทราบว่าการเก็บข้อมูลในฐานข้อมูลอย่างแท้จริงเป็นอย่างไร จึงสามารถป้องกันข้อมูลถูกทำลายหรือถูกแก้ไขได้ดี
• การเลือกดูข้อมูลทำได้ง่าย มีความซับซ้อนของข้อมูลระหว่างแฟ้มต่าง ๆ น้อยมาก อาจมีการฝึกฝนเพียงเล็กน้อยก็สามารถใช้ทำงานได้
ข้อเสีย
• มีการแก้ไขปรับปรุงแฟ้มข้อมูลได้ยากเพราะผู้ใช้จะไม่ทราบการเก็บข้อมูลในฐานข้อมูลอย่างแท้จริงเป็นอย่างไร
• มีค่าใช้จ่ายของระบบสูงมากเพราะเมื่อมีการประมวลผลคือ การอ่าน เพิ่มเติม ปรับปรุงหรือยกเลิกระบบจะต้องทำการสร้างตารางขึ้นมาใหม่ ทั้งที่ในแฟ้มข้อมูลที่แท้จริงอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย
4. ฐานข้อมูลเชิงวัตถุ (Object Oriented Model)
• ใช้ในการประมวลผลข้อมูลทางด้านมัลติมีเดีย คือ มีข้อมูลภาพ และเสียง หรือข้อมูลแบบมีการเชื่อมโยงแบบเว็บเพจ ซึ่งไม่เหมาะสำหรับ Relation Model
• มองสิ่งต่างๆ เป็น วัตถุ (Object)
วัตถุประสงค์ของแบบจำลองข้อมูล
• เพื่อนำแนวคิดต่างๆ มาเสนอให้เกิดเป็นแบบจำลอง
• เพื่อนำเสนอข้อมูลและความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลในรูปแบบที่เข้าใจง่าย เช่นเดียวกันการดูแปลนบ้านที่จะทำให้เราเข้าใจโครงสร้างบ้านได้เร็ว
• เพื่อใช้ในการสื่อสารระหว่างผู้ออกแบบฐานข้อมูลกับผู้ใช้ให้ตรงกัน
ประเภทของแบบจำลองข้อมูล
• ประเภทของแบบจำลองข้อมูล แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
1. Conceptual Models คือ แบบจำลองแนวคิดที่ใช้พรรณนาลักษณะโดยรวมของข้อมูลทั้งหมดในระบบ โดยนำเสนอในลักษณะของแผนภาพ ซึ่งประกอบด้วยเอนทีตีต่างๆ และความสัมพันธ์ โดยแบบจำลองเชิงแนวคิดนี้ต้องการนำเสนอให้เกิดความเข้าใจระหว่างผู้ออกแบบและผู้ใช้งาน คือเมื่อเห็นภาพแบบจำลองดังกล่าวก็จะทำให้เข้าถึงข้อมูลชนิดต่างๆ
2. Implementation Models เป็นแบบจำลองที่อธิบายถึงโครงสร้างของฐานข้อมูล
คุณสมบัติของแบบจำลองข้อมูลที่ดี
• 1. ง่ายต่อความเข้าใจ
• 2. มีสาระสำคัญและไม่ซ้ำซ้อน หมายถึง แอตทริบิวต์ในแต่ละเอนทีตี้ไม่ควรมีข้อมูลซ้ำซ้อน
• 3. มีความยืดหยุ่นและง่ายต่อการปรับปรุงในอนาคต กล่าวคือแบบจำลองข้อมูลที่ดีไม่ควรขึ้นอยู่กับแอปพลิเคชันโปรแกรม และสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงในโครงสร้าง ซึ่งจะไม่ส่งผลกระทบต่อโปรแกรมที่ใช้งานอยู่ นั่นคือความเป็นอิสระในข้อมูล
8.SQL หมายถึงอะไร
SQL ย่อมาจาก structured query language คือภาษาที่ใช้ในการเขียนโปรแกรม เพื่อจัดการกับฐานข้อมูลโดยเฉพาะ เป็นภาษามาตราฐานบนระบบฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์และเป็นระบบเปิด (open system) หมายถึงเราสามารถใช้คำสั่ง sql กับฐานข้อมูลชนิดใดก็ได้ และ คำสั่งงานเดียวกันเมื่อสั่งงานผ่าน ระบบฐานข้อมูลที่แตกต่างกันจะได้ ผลลัพธ์เหมือนกัน ทำให้เราสามารถเลือกใช้ฐานข้อมูล ชนิดใดก็ได้โดยไม่ติดยึดกับฐานข้อมูลใดฐานข้อมูลหนึ่ง นอกจากนี้แล้ว SQL ยังเป็นชื่อโปรแกรมฐานข้อมูล ซึ่งโปรแกรม SQL เป็นโปรแกรมฐานข้อมูลที่มีโครงสร้างของภาษาที่เข้าใจง่าย ไม่ซับซ้อน มีประสิทธิภาพการทำงานสูง สามารถทำงานที่ซับซ้อนได้โดยใช้คำสั่งเพียงไม่กี่คำสั่ง โปรแกรม SQL จึงเหมาะที่จะใช้กับระบบฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ และเป็นภาษาหนึ่ง ซึ่งแบ่งการทำงานได้เป็น 4 ประเภท ดังนี้
1. Select query ใช้สำหรับดึงข้อมูลที่ต้องการ
2. Update query ใช้สำหรับแก้ไขข้อมูล
3. Insert query ใช้สำหรับการเพิ่มข้อมูล
4. Delete query ใช้สำหรับลบข้อมูลออกไป
ปัจจุบันมีซอฟต์แวร์ระบบจัดการฐานข้อมูล (DBMS ) ที่สนับสนุนการใช้คำสั่ง SQL เช่น Oracle , DB2, MS-SQL, MS-Access
นอกจากนี้ภาษา SQL ถูกนำมาใช้เขียนร่วมกับโปรแกรมภาษาต่างๆ เช่น ภาษา c/C++ , VisualBasic และ Java
ประโยชน์ของภาษา SQL
1. สร้างฐานข้อมูลและ ตาราง
2. สนับสนุนการจัดการฐานข้อมูล ซึ่งประกอบด้วย การเพิ่ม การปรับปรุง และการลบข้อมูล
3. สนับสนุนการเรียกใช้หรือ ค้นหาข้อมูล
ประเภทของคำสั่งภาษา SQL
1. ภาษานิยามข้อมูล(Data Definition Language : DDL) เป็นคำสั่งที่ใช้ในการสร้างฐานข้อมูล กำหนดโครงสร้างข้อมูลว่ามี Attribute ใด
ชนิดของข้อมูล รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงตาราง และการสร้างดัชนี คำสั่ง : CREATE,DROP,ALTER
2. ภาษาจัดการข้อมูล (Data Manipulation Language :DML) เป็นคำสั่งที่ใช้ในการเรียกใช้ เพิ่ม ลบ และเปลี่ยนแปลงข้อมูลในตาราง คำสั่ง : SELECT,INSERT,UPDATE,DELETE
3. ภาษาควบคุมข้อมูล (Data Control Language : DCL) เป็นคำสั่งที่ใช้ในการกำหนดสิทธิการอนุญาติ หรือ ยกเลิก การเข้าถึงฐานข้อมูล เพื่อป้องกันความปลอดภัยของฐานข้อมูล คำสั่ง : GRANT,REVOKE
ข้อมูลอ้างอิง
www.satit.su.ac.th
www.chandra.ac.th
www.softwaresiam.com
9.การประมวลผลแบบทันที หมายถึงอะไร
การประมวลผลแบบทันที (real-time processing) คือ การประมวลผลข้อมูลจากสถานที่จริงจากเวลาและเหตุการณ์จริง โดยปกติแล้วจะทำควบคู่กับแบบ On-line processing (On-line processing ก็คือการทำงานแบบตอบสนองหรือให้ Output แบบทันทีทันใด) ซึ่งบางครั้งจะเรียกว่า "on-linereal-time"
การประมวลผลแบบทันที (real-time processing) นี้มีจุดประสงค์เพื่อนำ Output ที่ได้ไปใช้ในการตัดสินใจแก้ปัญหา และดำเนินการต่าง ๆ ได้ทันท่วงที หรือทันกาล ตัวอย่างเช่น การนำคอมพิวเตอร์มาต่อเชื่อมกับเครื่องตรวจจับป้องกันไฟไหม้ (โดยกำหนดว่าถ้ามีควันมากและอุณหภูมิสูงผิดปกติถือว่าเกิดไฟไหม้) ซึ่งคอมพิวเตอร์จะต้องนำข้อมูล (จากสถานที่เหตุการณ์และเวลาจริง) มาประมวลผลอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา และถ้าประมวลผลแล้วพบว่าไฟไหม้ คอมพิวเตอร์ก็จะสั่งให้น้ำยาดับเพลิงที่ติดตั้งไว้ทำงาน (ตอบสนองทันที) การที่คอมพิวเตอร์ฉีดทันทีเราอาจกล่าวได้ว่าเป็นผลจากการทำงานแบบ On-line นั่นเอง
10.ฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ หมายถึง
การจัดเก็บฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ ได้เริ่มรู้จักกัน บทความชื่อ A Relational Model of Data for Large Shared Data Banks ของ Dr.Edgar Frank Codd หรือ Dr. E. F. Codd ซึ่งขณะนั้นเป็นนักวิจัยอยู่ที่บริษัท IBM ได้ตีพิมพ์ในวารสาร Association of Computer Machinery (ACM) journal เมื่อเดือนมิถุนายน ปี ค.ศ.1970 การสร้างโมเดลเชิงสัมพันธ์ได้ใช้ทฤษฎีทางคณิตศาสตร์เกี่ยวกับเซต (Set) มาอธิบายการทำงาน แนวคิดของ Codd นี้ได้ถูกพัฒนาเป็นซอฟต์แวร์ระบบฐานข้อมูลที่ชื่อว่า Oracle จากบริษัท Relational Software หรือ บริษัท Oracle ในปัจจุบัน
ความหมายของฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์
ระบบฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ (Relational Database) เป็นฐานข้อมูลที่ใช้โมเดลเชิงสัมพันธ์ (Relational Database Model) ซึ่งผู้คิดค้นโมเดลเชิงสัมพันธ์นี้คือ Dr. E.F. Codd โดยใช้หลักพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ เนื่องด้วยแนวคิดของแบบจำลองแบบนี้มีลักษณะที่คนใช้กันทั่วกล่าวคือมีการเก็บเป็นตาราง ทำให้ง่ายต่อการเข้าใจและการประยุกต์ใช้งาน ด้วยเหตุนี้ ระบบฐานข้อมูลแบบนี้จึงที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ในแง่ของ entity แบบจำลองแบบนี้คือ แฟ้มข้อมูลในรูปตาราง และ attribute ก็เปรียบเหมือนเขตข้อมูล ส่วนความสัมพันธ์คือความสัมพันธ์ระหว่าง entity
ฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ คือ การเก็บข้อมูลในรูปของตาราง (Table) หลายๆตารางที่มีความสัมพันธ์กัน ในแต่ละตารางแบ่งออกเป็นแถวๆ และในแต่ละแถวจะแบ่งเป็นคอลัมน์ (Column) ในทางทฤษฎีจะมีคำศัพท์เฉพาะแตกต่างออกไป เนื่องจากแบบจำลองแบบนี้เกิดจากทฤษฎีทางคณิตศาสตร์เรื่องเซ็ท (Set) ดังนั้น เราจะมีคำศัพท์เฉพาะดังตารางที่ 3.1นี้
ศัพท์เฉพาะ
|
ศัพท์ทั่วไป
|
รีเลชั่น (Relation)
|
ตาราง (Table)
|
ทูเปิล (Tuple)
|
แถว (Row) หรือ เรคคอร์ด (Record) หรือ ระเบียน
|
แอททริบิวท์ (Attribute)
|
คอลัมน์ (Column) หรือฟิลด์ (Field)
|
คาร์ดินัลลิติ้ (Cardinality)
|
จำนวนแถว (Number of rows)
|
ดีกรี (Degree)
|
จำนวนแอททริบิวท์ (Number of attribute)
|
คีย์หลัก (Primary key)
|
ค่าเอกลักษณ์ (Unique identifier)
|
โดเมน (Domain)
|
ขอบข่ายของค่าของข้อมูล (Pool of legal values)
|

คำศัพท์ที่เกี่ยวข้องกับฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์
รีเลชัน (Relation) หรือจะเรียกอีกอย่างว่า ตาราง (table) หรือในรูปแบบของความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูล (E-R Model) เรียกว่า เอนทิตี (Entity) เป็นการแสดงถึงรูปแบบของตาราง 2 มิติ ที่ประกอบด้วยคอลัมน์และแถวของข้อมูล
แอททริบิวท์ (Attribute) หรือ คอลัมน์ (Column) เป็นการแสดงถึงคุณลักษณะของรีเลชัน อาจจะเรียกว่า เขตข้อมูล เช่น รีเลชัน “สินค้า” ประกอบด้วยคอลัมน์ที่แสดงถึงแอททริบิวท์ต่างๆ ได้แก่ รหัสสินค้า ชื่อสินค้า จำนวนสินค้าคงเหลือ เป็นต้น
ทัพเพิล (tuple)จะเรียกอีกอย่างว่า แถว (Row) หรือ เรคอร์ด (record) แถวจะเป็นที่เก็บสมาชิกของรีเลชัน ดังนั้น แถวแต่ละแถวในรีเลชันจะต้องมีคุณสมบัติที่เหมือนกันหมด หรือ มีข้อมูลตามคอลัมน์ที่เป็นคุณลักษณะของรีเลชันเดียวกัน
คาร์ดินอลลิตี้ (Cardinality) คือ จำนวนของทัพเพิลในหนึ่งรีเลชัน หรือ จำนวนแถวในหนึ่งตาราง
ดีกรี (Degree) คือ จำนวนแอททริบิวท์ในหนึ่งรีเลชัน หรือ จำนวนคอลัมน์ในหนึ่งตาราง ยกตัวอย่างข้อมูลพนักงาน เพื่ออธิบายองค์ประกอบของรีเลชัน
โดเมน (Domain) คือ กลุ่มหรือขอบเขตของข้อมูลที่เป็นไปได้ของแต่ละแอททริบิวท์ เช่น โดเมนของแอททริบิวท์กำหนดเพศ ประกอบด้วย เพศหญิง กับ เพศชาย โดเมนของแอททริบิวท์อายุของพนักงานมีขอบเขตระหว่าง 18-60 ปี เป็นต้น
ค่าว่าง (Null Value) ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงการกำหนดให้เป็นศูนย์ หรือ ช่องว่างแต่เป็นแอททริบิวท์ที่ยังไม่มีค่าข้อมูลเก็บอยู่ อาจจะยังไม่ทราบค่าข้อมูลที่จะต้องใส่ลงไปในแอททริบิวท์นั้นๆ เมื่อทราบค่าข้อมูลในแอททริบิวท์นั้น อาจมีการกลับมาใส่ข้อมูลลงไปใหม่ได้ ยกเว้นแอททริบิวท์ที่เป็นคีย์หลักที่ไม่สามารถทำให้เป็นค่าว่างได้
คีย์หลัก (Primary Key) คือ แอททริบิวท์ที่สามารถใช้เจาะจงแถวใดแถวหนึ่งในรีเลชัน โดยข้อมูลแต่ละแถวจะไม่ซ้ำซ้อนกัน บางครั้งอาจเรียกสั้น ๆ ว่า คีย์
คุณสมบัติของคีย์หลัก
1. ข้อมูลของแอททริบิวท์ที่เป็นคีย์หลัก จะมีความเป็นหนึ่งเดียว (uniqueness) กล่าวคือทุกๆ แถวของตารางจะต้องไม่มีข้อมูลของแอททริบิวท์ที่เป็นคีย์หลักนี้ซ้ำกัน
2. ต้องประกอบด้วยจำนวนแอททริบิวท์ที่น้อยที่สุด (minimality) แต่สามารถใช้เป็นตัวชี้เฉพาะเจาะจงหรืออ้างอิงถึงแถวใดแถวหนึ่งในรีเลชันได้
3. ค่าแอททริบิวท์คีย์หลักต้องไม่เป็นค่าว่าง (Not Null)
คีย์ร่วม (Composite Key) คือ คีย์หลักที่ประกอบด้วยแอททริบิวท์มากกว่าหนึ่งแอททริบิวท์
นัลคีย์แอททริบิวท์ คือ แอททริบิวท์อื่น ๆ ในรีเลชันที่ไม่ใช่ส่วนใดส่วนหนึ่งของคีย์หลัก เช่น จากรูปที่ 3.3 ถ้ากำหนดให้คีย์หลักคือแอททริบิวท์รหัสนักศึกษา ดังนั้น แอททริบิวท์ชื่อนักศึกษา สาขาวิชา และหมายเลขบัตรประชาชน เป็นนัลคีย์แอททริบิวท์
คีย์นอก หรือ คีย์อ้างอิง เป็นแอททริบิวท์หรือกลุ่มแอททริบิวท์ในรีเลชันหนึ่ง ซึ่งจะไปปรากฏเป็นคีย์หลักกับอีกรีเลชันหนึ่ง ดังนั้นค่าคีย์นอกจะมีค่าเท่ากับค่าคีย์หลักในแถวในแถวหนึ่งของอีกรีเลชัน หรือค่าในคีย์นอกจะต้องมีค่าอยู่ในโดเมนเดียวกับคีย์หลัก
คุณสมบัติของคีย์นอก
1. คีย์นอกจะเป็นแอททริบิวท์ หรือกลุ่มของแอททริบิวท์ที่อยู่ในรีเลชัน หนึ่งๆ ที่ค่าของแอททริบิวท์นั้นไปปรากฏเป็นคีย์หลักในอีกรีเลชัน (หรืออาจเป็นรีเลชันเดิมก็ได้)
2. คีย์นอกเปรียบเสมือนกาวเชื่อมข้อมูลในรีเลชันหนึ่งกับอีกรีเลชันหนึ่ง ซึ่งเป็นการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างรีเลชัน
3. คีย์นอกและคีย์หลักของอีกรีเลชันที่มีความสัมพันธ์กัน จะต้องอยู่ภายใต้โดเมนเดียวกัน และคีย์นอกไม่จำเป็นต้องมีชื่อเหมือนกับคีย์หลักของอีกรีเลชันที่มีความสัมพันธ์กัน
4. รีเลชันหนึ่งๆ อาจจะมีคีย์นอกอยู่หรือจะไม่มีก็ได้ แต่ทุกรีเลชันจะต้องมีคีย์หลักเสมอ
ตรวจแล้ว
ตอบลบ